วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

“ตำนานแม่โพสพ เทพนารีแห่งข้าว”

ประวัติความเป็นมา

ตำนานเกี่ยวกับแม่โพสพหรือแม่โคสก(อีสาน)มีเล่าต่อกันมาทุกภาคจะชื่อแตกต่างกันไปบ้างแต่ละท้องถิ่น เนื้อหาแตกตางกัน ๒ แนวคือ
๑. ภาคกลางและภาคใต้
๒. ภาคเหนือและภาคอีสาน

ตำนานแม่โพสพของภาคกลางและภาคใต้
บางตำนานเล่าว่า แม่โพสพเป็นเทวีแห่งข้าว มีพาหนะเป็นปลากรายทองและปลาสำเภา ในวันหนึ่งที่เมืองไพสาลีกลางสโมสรสันนิบาต มนุษย์ได้ปรึกษากันว่าระหว่างพระพุทธเจ้ากับแม่โพสพว่าใครมีคุณมากกว่ากันที่ประชุมต่างกราบทูลว่าคุณของพระพุทธเจ้าใหญ่กว่าแม่โพสพ และพระเพชรฉลูกรรณได้ฟังดังนั้น ก็ข้องใจว่าเรารักษามนุษย์อยู่ มนุษย์ไม่เห็นความดี จึงทรงปลากรายหนีไปยังป่าหิมพานต์เขาคชกูฎ เมื่อแม่โพสพจากไปก็เกิดความอดอยากขึ้นในโลกมนุษย์ ทำไร่ไถนาไม่มีข้าวมีแต่แกลบมนุษย์จึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้พระมาตุลีเชิญนางกลับมา พระมาตุลีตามไปจนถึงขาทบกันก็ไปไม่ได้ จึงใช้ปลาสลาดไปตามต่อจนพบ ปลาสลาดได้อ้อนวอนขอให้นางกลับคืนโลก นางตอบว่า “อยู่ที่นี่เราสบาย ถ้าจะไปใจแม่หาย เพราะเขาไม่รู้บุญคุณ แม่จะให้แต่เมล็ดข้าวไปรักษาแก่ฝูงคน เมื่อเก็บจงนึกถึงเรา เราจะไปปีละหน ตรวจดูผู้คน เก็บเกี่ยวแล้วให้ทำขวัญ ” นางได้มอบเมล็ดข้าว ๗ เมล็ด (บ้างก็ว่า ๙ เมล็ด) ไปทำพันธุ์ พระเพชรฉลูกรรณให้แม่เหล็ก ๑ อันสำหรับตั้งพร้า นางยังสั่งด้วยว่าเมื่อมนุษย์ทำไถนา เมื่อข้าวใกล้สุกก็ให้จัดพิธีทำขวัญโดยให้แต่งด้วยข้าว และด้วยเหตุที่ปลาสลาดเป็นผู้บอกทางที่นางซ่อนแก่พระมาตุลี นางจึงสั่งให้นำปลาสลาดมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยด้วย ปลาสลาดก็ลากลับมาเล่าให้พระมาตุลีฟังตามคำแม่โพสพ พระมาตุลีรับเมล็ดข้าวแล้วเหาะกลับ ในระหว่างทางพระมาตุลีจึงหยุดพักอาบน้ำ นกกระจาบได้แอบลักเมล็ดข้างสองเมล็ดบินหนีไป ข้าวสองเมล็ดนั้นได้ตกลงมายังโลกมนุษย์กลายเป็นข้าวผี พระมาตุลีนำเมล็ดพันธุ์ข้าวถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกมนุษย์มาพร้อมกัน ทรงอธิบายให้มนุษย์ฟังและแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่มนุษย์ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อข้าวใกล้สุกมนุษย์จะทำขวัญเชิญแม่โพสพเป็นประจำทุกปี ซึ่งเรื่องราวนี้จะคล้ายกับคำกล่าวผูกขวัญทางภาคใต้ว่า “พระมาตุลีกับพระภูมิ พระเพด สนูกรม์ รับสั่งทรงธรรม์ชวนกันคลาไคล ไปหาปลากราย ยังองศาใต้ หรือว่าอย่างไร กับท่านปลาสลาดเป็นสหายหทัย ท่านรับสั่งไป ถึงพระมารดา มาตุลีสั่งแล้ว ชวนกันแคล้วคลยังแต่ฝูงปลา ปรึกษากันไป ว่าจะทำอย่างไร สหายทรงธรรม์ จะไปสองคนก็เปลี่ยวเสียวสันหลัง เพราะหนทางนั้น ลำบากเหลือใจ เราชวนฝูงปลา พาไปให้มากปลาน้อยปลาใหญ่ ล่องลอยวารี ไปกันมากมี แต่ล้วนมัจฉา ปลาน้อยปลาใหญ่ล่องลอยคงคา รับพระมารดา กลับมาคืนเมือง สุดแสนเวทนาเดินทางมรคาใครจะมาเหมือน ยังมีภูเขา ขวางอยู่เจ็ดแห่งยังมีแม่น้ำขวางอยู่เจ็ดแถวหัวใจแคล้วๆมกลางทะเล...........................บัดเดี๋ยวมาไกล เขาแก้วมณี ที่พระชนนี เข้าอยู่อาศัย”

(การบูชาพระแม่โพสพ)


ตำนานแม่โพสพของภาคเหนือและภาคอีสาน
ตำนานแม่โพสพที่มีผู้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรธรรมที่วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่านานมาแล้วพญาวิรูปักขาเป็นผู้ให้กำเนิดข้าว ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่า กุกกุสันโท ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก ได้มีผู้นำเอาข้าวมาเลี้ยงคนและสัตว์ในชมพูทวีป ปรากฎว่าข้าวในสมัยนั้นเมล็ดใหญ่โตมากมีกลิ่นหอมและรสอร่อย แต่เมื่อจะกินต้องใช้มีดพร้าผ่ามานึ่งกิน ต่อมาถึงพระพุทธเจ้าผู้มีนามว่า โกนาคมโน เมล็ดข้าวก็เล็กลงบ้าง แต่ยังมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเคย ในสมัยต่อมามีหญิงชราหม้ายคนหนึ่งเคยมีสามี ๗ คน สามีตายหมดต้องอยู่คนเดียวทั้งไม่มีลูกหลานจะพึ่งพาอาศัย คราวหนึ่งขณะนางกำลังทำยุ้งข้าวอยู่ เมล็ดข้าวก็พากันบินหลั่งไหลมารวมกัน ณ ใต้ถุนบ้านของนาง ยายแม่หม้ายโกรธมากที่เมล็ดข้าวมามากมายเนื่องจากนางยังทำยุ้งข้าวยังไม่เสร็จ นางจึงเอาไม้ขนาดใหญ่ตีเมล็ดข้าวเหล่านั้นให้แตกกระจายเป็นซีกเล็กๆ ดังนั้นข้าวตกใจพากันไปอยู่ตามเถื่อน (ป่า) ถ้ำและหนอง ชาวบ้านให้ชื่อข้าวนั้นว่านางโพสพ ข้าวนั้นไม่กลับมาหามนุษย์อีก ผู้คนพากันอดข้าวเป็นเวลานานถึงพันปี มีลูกเศรษฐีคนหนึ่งไปเที่ยวป่าหลายวัน อดอาหารจึงเอาเหล็กแทงลงไปในน้ำเพื่อหาปลา บังเอิญแทงไปถึงปลาไหลทองตัวหนึ่งท้องแตกกระจายไปทั่ววังน้ำ มีปลาพญากั้ง (ตัวคล้ายปลาช่อน) ตัวหนึ่งมาพบเข้าจึงอ้อนวอนขอแลกปลาไหลทองด้วยนางโพสพ คือข้าว ลูกเศรษฐีตกลงจึงเรียกนางโพสพ คือข้าวมาหาและมอบให้ลูกเศรษฐีไป นางโพสพขัดขืนไม่อยากไปเมืองมนุษย์เพราะกลัวถูกตีอีก มีเทวดาสององค์เนรมิตปลาและกวางทองมาช่วยพูด ขอให้นางโพสพไปอยู่เมืองมนุษย์เพื่อเลี้งชีวิตคนและสืบพระศาสนา นางโพสพเห็นเป็นเทวดาก็ไม่อาจขัดได้จึงตกลงไปกับลูกเศรษฐี พอมาถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป เมล็ดข้าวก็เล็กลงมาอีกและมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเดิมตลอดมาจนถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า โคตโม เมล็ดข้าวเล็กลงอีกมีกลิ่นหอมและอร่อยเช่นเดิม ต่อมามีพญาองค์หนึ่งเสวยราชแต่เป็นกษัตริย์อธรรม เกิดฝนแล้ง คนอดอยาก พญาผู้นั้นได้ทำยุ้งฉางหลวงใส่ข้าวไว้แจกจ่าย ประชาชนจึงมาขอรับข้าวไปแลกของกินและสิ่งของต่างๆ และขายเอาเงินมาใช้ ข้าวโกรธจึงหนีไปอยู่หินหนองต่อใกล้พระฤาษีตนหนึ่งซึ่งพำนักอยู่ ณ ที่นั้น ประชาชนอดอยากอยู่ประมาณสามร้อยปี ผู้คนตายกันทั้งเมือง ยังเหลือแต่ตายายสองคนผัวเมีย และได้เข้าป่าไปหาฤาษีเพื่อขออาหารกินและเล่าถึงความอดอยากให้พระฤาษีฟัง พระฤาษีสงสารจึงเรียกนางโพสพ คือข้าวมาหาและมอบให้สองเฒ่านั้น ชั้นแรกนางโพสพขัดขืนไม่ยอมไป ต่อมาพระฤาษีบอกคาถาให้สองเฒ่านั้นเสกใส่นางโพสพ นางโพสพถูกคาถาจึงตกลงไปยังเมืองมนุษย์อีกและพระฤาษีเสกให้เป็นข้าวชนิดต่างๆ ด้วยพระฤาษีให้สองเฒ่านั้นนำเมล็ดข้าวไปปลูก คราวแรกต้นเหี่ยวตาย สองเฒ่าจึงแต่งเครื่องขวัญรียกวิญญาณนางโพสพ และเอาคาถาที่พระฤาษีบอกให้มาเสกใส่น้ำแล้วไปรดต้นข้าว ต้นข้าวจึงงอกงามดี เมล็ดข้าวได้แตกแยกออกเป็นเมล็ดล็กมากมาย สองเฒ่าจึงเอาเมล็ดข้าวแจกจ่ายไปยังบ้านเมืองต่างๆ ทั่วไป และนำวิธีปลูกข้าวให้ทราบวิธีปฏบัติเกี่ยวกับข้าว เช่น มีการทำบุญคูณลาน เมื่อนวดขาวกองไว้ที่ลานและพิธีเรียกขวัญข้าวหรือเจ้าแม่โพสพด้วย สองเฒ่าอายุยืนถึงพันปีจึงถงแก่กรรม พันธุ์ข้าวได้แพร่หลายไปตามบ้านเมืองต่างๆ อย่างกว้างขวางตลอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ตำนานทางภาคหนือเล่าต่อกันมาว่า สมัยก่อนเม็ดข้าวมีขนาดใหญ่เป็นร้อยเท่าของเมล็ดข้าวในปัจจุบัน วันหนึ่งมีข้าวสารติดก้นสุนัข ๑ เมล็ด เจ้าของข้าวจึงวิ่งไล่ตามสุนัขตัวนั้นไป โดยข้ามดอยตั้ง ๓ ม่อนกว่าจะได้เมล็ดข้าวนั้นคืนมา และเล่าต่อไปว่าข้าวมีชิวิตจิตใจ เมื่อถึงฤดูหว่านดำข้าว ข้าวจะหว่านตัวเองลงในนาที่เตรียมไว้ เมื่อสุกได้ที่แล้วก็จะพากันหลุดออกจากรวงแล้วลื่อนไหลปู่ยุ้งฉางที่เจ้าของเตรียมไว้ อยู่มาวันหนึ่งย่าแม่หม้ายกำลังจัดแต่งซ่อมแซมประตูยุ้งข้าวอยู่ ข้าวก็พากันลื่นไหลจากทุ่งมาจะเข้าประตูยุ้งให้ได้ ย่าแม่หม้ายโมโหจึงหยิบไม้ตีเมล็ดข้าวแตกออกกระจัดกระจาย ข้าวจึงพากันโกรธย่าแม่หม้าย นับแน่นั้นมาเมล็ดข้าวจึงมีขนาดเล็กดังเช่นปัจจุบัน